การเกิดข้อเข่าเสื่อม เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีอายุมากขึ้น แต่ก็อาจพบได้ในกลุ่มอายุน้อยกว่าหากมีปัจจัยเสี่ยงที่เพียงพอ สาเหตุของโรคนี้สามารถมาจากปัจจัยหลายอย่างได้ดังนี้:
การสูญเสียกระดูกและเส้นใยชนิดเสื่อม การสูญเสียกระดูกและเส้นใยชนิดเสื่อมที่อยู่ในข้อเข่าสามารถเกิดขึ้นจากการใช้งานหนักโดยเฉพาะในกิจกรรมที่มีการน้ำหนักบนข้อเข่า เช่นการวิ่งหรือกีฬาที่ใช้เข่ามาก เป็นต้น
การบาดเจ็บของข้อเข่า: บาดเจ็บในข้อเข่าอาจส่งผลต่อการสร้างกระดูกและเส้นใยชนิดเสื่อมในอนาคต ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการบาดเจ็บของเครื่องมือกีฬา การเกิดอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บอื่น ๆ ที่มีผลต่อข้อเข่า
ปัจจัยพันธุกรรม: มีความเสี่ยงสูงของโรคเกิดขึ้นในบางครอบครัวซึ่งอาจเป็นเนื่องจากความแตกต่างในโครงสร้างของกระดูกหรือเส้นใยชนิดเสื่อมที่ถ่ายทอดมา
อายุ: โรคข้อเข่าเสื่อมมักเกิดขึ้นในช่วงวัยทอง โดยมีความชัดเจนขึ้นเมื่อคนเข้าสู่วัยที่ 50 ขึ้นไป โดยปกติความสามารถในการสร้างและซ่อมแซมกระดูกและเส้นใยชนิดเสื่อมลดลงเรื่อย ๆ ตามอายุ
ปัจจัยอื่น ๆ: รูปแบบการเดินที่ไม่เหมาะสม เช่น เดินหรือวิ่งโดยเหยียบข้อเข่าเป็นพื้นเดียว, น้ำหนักตัวมากเกินไป, หรือโรคอื่น ๆ เช่น โรคซึมเศร้าซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดูแลสุขภาพโดยรวมของบุคคล
การหลีกเลี่ยงการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมสามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามข้อแนะนำด้านการดูแลสุขภาพข้อเข่าและการทำกิจกรรมอย่างระมัดระวัง ดังนี้:
ควบคุมน้ำหนัก: การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมสำหรับร่างกายจะช่วยลดแรงกระแทกที่บริเวณข้อเข่า ซึ่งจะลดความเสี่ยงในการเกิดการเสื่อมของกระดูกและเส้นใยชนิดเสื่อมในข้อเข่า
ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม: การทำกิจกรรมที่เหมาะสมและเป็นระบบ เช่น เดิน, วิ่ง, ยืดเข่า, และออกกำลังกายที่เสริมกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า เช่น โยคะหรือประจำออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และป้องกันการเกิดความเสียหายในข้อเข่า
ใส่รองเท้าที่เหมาะสม: การใส่รองเท้าที่รองรับและสบายสำหรับกิจกรรมที่ท่านทำจะช่วยลดแรงกระแทกที่ข้อเข่าและลดความเสี่ยงในการเกิดอาการเสื่อมของข้อเข่า
ระมัดระวังในการทำกิจกรรมที่มีการใช้งานข้อเข่ามาก: หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้งานข้อเข่ามากเช่น การลงขาลงพื้นอย่างรวดเร็ว การขึ้นลงบันได หรือการก้าวข้ามขึ้นรถ
การดูแลสุขภาพทั่วไป: การดูแลสุขภาพโดยการรับประทานอาหารที่มีโภชนาการสมบูรณ์ รวมถึงเพิ่มปริมาณผักและผลไม้ ดื่มน้ำเพียงพอ และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ อีกด้วย
การรักษาข้อเข่าเสื่อม
การรักษาข้อเสื่อมมักมุ่งเน้นการบริหารจัดการอาการและลดการเจริญเติบโตของโรค แม้ไม่มีวิธีรักษาที่สามารถเยื้องดัชนีการเจริญเติบโตของโรคได้อย่างสมบูรณ์ แต่มีวิธีการที่สามารถช่วยควบคุมอาการและลดความเจ็บปวดได้ โดยประกอบด้วย:
การออกกำลังกาย: การฝึกซ้อมและการออกกำลังกายที่เหมาะสมและน้อยกล้ามเนื้ออย่างแม่นยำ โดยฝึกซ้อมเพื่อเสริมกล้ามเนื้อบริเวณข้อเข่าและข้อรองเท้า เช่น ว่ายน้ำ, ปั่นจักรยาน, หรือการเดินเร็ว ๆ
การควบคุมน้ำหนัก: การลดน้ำหนักหรือรักษาน้ำหนักที่เหมาะสมสามารถช่วยลดแรงกระแทกที่ข้อเข่าและลดการเสื่อมของกระดูกและเส้นใยชนิดเสื่อมในข้อเข่า
การใช้เครื่องมือสำหรับการเดินหรือการเคลื่อนไหว: การใช้เครื่องมือเพื่อช่วยในการเดินหรือการเคลื่อนไหว เช่น ไม้เท้า, กระเป๋าเดินทางหรือเครื่องช่วยเดิน เพื่อลดการฝึกซ้อมหรือการใช้งานที่เข่า
การรับประทานยา: การใช้ยาต้านอาการอักเสบเพื่อลดอาการปวดและอักเสบ และการใช้ยาแก้ปวดเพื่อควบคุมความเจ็บปวดในข้อเข่า
การกายภาพบำบัด: การได้รับการบำบัดจากนักกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดการกับโรคข้อเข่าเสื่อม โดยมุ่งเน้นการฝึกซ้อมและการทำงานกับกล้ามเนื้อเพื่อปรับปรุงความเข้มแข็งและความยืดหยุ่นของข้อเข่า
การใช้การรักษาเสริม: การใช้เครื่องมือการรักษาเสริม เช่น การใส่เข็ม การใช้รังไข่ของกุหลาบหรือการออกซิเจนโมเลกุลเพื่อลดอาการปวดและการอักเสบในข้อเข่า
การผ่าตัด: สำหรับบางกรณีที่อาการไม่ดีขึ้นจากการรักษาอื่น ๆ หรือมีความสูงอันตราย อาจต้องพิจารณาการผ่าตัด เช่น การเปลี่ยนข้อเข่าหรือการกระตุ้นศัลยกรรมสำหรับการแก้ไขโรคข้อเข่าเสื่อมที่รุนแรงขึ้น
การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมมักจะเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตและการดูแลสุขภาพ อย่างไรก็ตาม หากคุณมีอาการเสี่ยงหรือมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อขอคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณ
การแก้ไขปัญหาข้อเสื่อม และข้อเข่าเสื่อมมักเน้นการรักษาอาการและการบริหารจัดการอาการเจ็บปวดและความเสียหายที่เกิดขึ้นในข้อเข่าเสื่อม โดยมีวิธีการที่มักใช้งานอย่างแพร่หลายดังนี้:
การใช้ยารักษาอาการ: แพทย์อาจสั่งให้ใช้ยารักษาอาการ เช่น ยาระงับปวดหรือยารักษาอักเสบ เพื่อช่วยลดอาการปวดและอักเสบในข้อเข่า
การทำกิจกรรมกายภาพ: การฝึกออกกำลังกายอย่างเหมาะสมโดยใช้กลไกที่เหมาะสมสำหรับการป้องกันการเสื่อมของข้อเข่า และเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าเพื่อสนับสนุนและลดแรงกระแทกที่ข้อเข่า
การใช้เครื่องมือช่วย: การใช้เครื่องมือช่วยเช่น ไม้เท้าเดิน, ไม้เท้าเชื่อมข้อเข่า, หรือรถเข็นเพื่อลดแรงกระแทกที่ข้อเข่าเมื่อทำกิจกรรมหรือการเดินทางไกล
การกายภาพบำบัด: การรับการกายภาพบำบัดโดยผู้เชี่ยวชาญอาจช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเสริมความสามารถในการเคลื่อนไหวของข้อเข่า
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำกิจกรรม: ควรเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดแรงกระแทกมากที่ข้อเข่า เช่น การขึ้นลงบันได, การก้าวกระโดด, หรือการวิ่ง
การรักษาอาหารและสไตล์การดำเนินชีวิต: การรับประทานอาหารที่มีโภชนาการสมดุลและการลดน้ำหนักหากมีน้ำหนักเกินมา เพื่อลดแรงกระแทกที่ข้อเข่า การเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดอาการเสียหายเพิ่มเติมในข้อเข่า เช่น การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์
การคลอดน้ำอุ่นหรือซวนแขนเท้า: การคลอดน้ำอุ่นหรือซวนแขนเท้าอาจช่วยลดความเจ็บปวดและความตึงเครียดในข้อเข่า
การรักษาทางการแพทย์: การศึกษาเพิ่มเติมและการรักษาทางการแพทย์อื่น ๆ เช่น การฉีดสารเสริมกระดูกหรือกระดูกเทียม, การผ่าตัด, หรือการฉีดสารลดการอักเสบในข้อเข่า อาจเป็นตัวเลือกที่ต้องพิจารณาในกรณีที่มีอาการที่รุนแรงและไม่สามารถควบคุมได้ด้วยมาตรการอื่น ๆ แล้ว
ข่าวค้นพบวิธีรักษาโรคกระดูกพรุนและข้อเสื่อม
โดย ศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ บอกว่า งานวิจัยนี้ถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างมาก เพราะสามารถนำงานวิจัยที่อยู่บนหิ้งมาต่อยอดเป็นเชิงพานิชได้ มีการนำเมล็ดงามาสกัดเป็นอาหารเสริมได้โดยไม่มีผลข้างเคียง และที่สำคัญดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะที่สำคัญ การค้นหาสารซามิน เซ(sesamin) ในงาดำ
ขณะนี้มีการจดสิทธิบัตรไปแล้ว 3 ประเทศ คือ ประเทศไทย กัมพูชา และประเทศสหรัฐอเมริกา